5 โรคฮิตเด็กยุคใหม่คุณแม่ใคร่รู้
เรื่องท้าทายความสามารถของคุณแม่ทุกคน คือการดูแลให้ลูกน้อยสุขภาพดี ซึ่งทุกวันนี้เด็กไทยมีโรคฮิตกันเยอะเหลือเกิน จึงขอยก 5 โรคฮิตของเด็กยุคใหม่ ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ มานำเสนอ
- โรคอ้วน
- โรคเบาหวาน
- โรคภูมิแพ้
- ไข้หวัด
- ท้องเสีย
1. โรคอ้วน
สาเหตุ : เกิดจากฮอร์โมนที่ผิดปกติพบได้ประมาณ 10% และภาวะโภชนาการเกิน (กินมากกว่าใช้พลังงาน) พบ มากถึง 90% ได้แก่ การกินอาหารที่เป็นแป้ง ไขมัน น้ำตาลสูง ที่พบมากใน Junk Food น้ำอัดลม ขนมถุงกินเล่น และไม่ออกกำลังกาย
อาการ : เด็กบางคนอ้วนมากๆ จะทำให้โครงสร้างของกระดูกที่ขาโก่งออก หรือเข่าชิดแต่ขางข้างล่างกาง ที่สำคัญคือเกิดภาวะมีฮอร์โมนอินซูลินในร่างกายเพิ่มสูง ทำให้เกิดผลเสียของหลอดเลือดและเซลล์ต่างๆ จึงมีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูง เป็นโรคหัวใจ เป็นอัมพาต เป็นเบาหวาน
รักษา : ควรชะลอการเพิ่มน้ำหนักลูก โดยพยายามให้ลูกกินอาหารที่มีไขมันน้อย เช่น ผักและผลไม้ เลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง ดื่มน้ำเปล่า ตรวจอัตราการเพิ่มน้ำหนักของลูกสม่ำเสมอ
ป้องกัน : คุณแม่เลี้ยงลูกให้กินอยู่อย่างพอเหมาะ ถูกหลักโภชนาการ และออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อเผาผลาญพลังงานในแต่ละวัน
อัตราการวัดน้ำหนักเกินเกณฑ์ ใช้สูตรนี้
น้ำหนักจริงของลูก X 100
(น้ำหนักที่ควรจะเป็นตามอายุหรือตามความสูง)
น้อยกว่า 110 = ปกติ
มากกว่า 110 = อ้วน
มากกว่า 120 = อ้วนมาก
ทั้งนี้ อัตราการเพิ่มน้ำหนักในเด็ก 2 ขวบขึ้นไป ไม่ควรเกิน 2-5 กิโลกรัมต่อปี
2. โรคเบาหวาน
สาเหตุ : โรคเบาหวานในเด็ก แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ เพราะตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิต้านทานสิ่งที่มาทำลายเซลล์หรือเนื้อเยื่อของร่างกายเองได้ เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน เกิดจากการที่เซลล์มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน สัมพันธ์กับพันธุกรรมและภาวะอ้วน
อาการ : อาการของโรคเบาหวานในเด็ก แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน เด็กจะมีร่างกายผอมหรือน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ปัสสาวะบ่อยและมาก เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน หิวบ่อย กินเก่ง อ่อนเพลียและผอมลง ปัสสาวะก็จะมีมดขึ้น
รักษา : เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน จำเป็นต้องได้รับการฉีดอินซูลินทุกวัน อย่างไรก็ตาม เด็กที่เป็นเบาหวานสามารถเจริญเติบโตตามเด็กปกติ แต่ต้องตรวจและปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ป้องกัน : ต้องดูแลเรื่องอาหารเป็นพิเศษ ฝึกลูกให้กินเป็นมื้อ ๆ เลี่ยงอาหารที่ไม่เกิดประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ขลุกอยู่กับโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์ ติดตามดูการเจริญเติบโตของลูก ทั้งน้ำหนักและส่วนสูงว่าสัมพันธ์กันและเป็นไปตามเกณฑ์อายุหรือไม่
3. โรคภูมิแพ้
สาเหตุ : มีปัจจัยอยู่ 3 อย่างที่ทำให้เป็นโรคนี้ คือ พันธุกรรม สารก่อภูมิแพ้ ช่วงวัยเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ปี มักมีอาการแพ้อาหาร แพ้นมวัวมาก
อาการ : ขึ้นอยู่กับประเภทของโรคภูมิแพ้ที่เป็น เช่น ผื่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง หายใจขัด เป็นหวัด คัดจมูกบ่อย อาจคล้ายกับอาการของโรคบางอย่าง เช่น ไข้หวัด ไซนัสอักเสบ สันนิษฐานว่าเป็นภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจส่วนต้น คือ หู คอ จมูก ตา อาการรุนแรงมากน้อยขึ้นอยู่กับสุขภาพเด็ก
รักษา : แพทย์ต้องพยายามหาว่าต้นตอของสิ่งที่แพ้คืออะไรเพื่อแนะนำคนไข้ให้หลีกเลี่ยงได้ถูกต้อง เลิกเครียดพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกาย รักษาต่อมาก็คือการให้ยา ปัจจุบันก็จะมีทั้งยากิน และยาพ่นจมูก พ่นปอด ต่าง ๆ มากมาย
ป้องกัน : การรักษาสุขภาพ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ เช่น การลดปัจจัยเสี่ยง การพักผ่อน รับประทานอาหารถูกเวลาถูกหลัก และการผ่อนคลายอารมณ์ หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคภูมิแพ้อาจมีโอกาสแพ้ยาได้
4. ไข้หวัด
สาเหตุ : เชื้อไวรัส ซึ่งมีอยู่ประมาณ 200 ชนิด ที่ทำให้เกิดไข้หวัดได้ และแต่ละชนิดก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเรื่อย ติดต่อกันง่ายโดยเฉพาะสถานที่ที่มีเด็กอยู่ร่วมกันเยอะ ๆ
อาการ : มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดศรีษะ คัดจมูก มีน้ำมูกไหลใส ๆ ไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะสีขาวเล็กน้อย จาม เจ็บคอเล็กน้อย ถ้าเป็นเกินกว่า 3 วัน อาจมีน้ำมูก เสมหะข้นสีเขียวหรือเหลือง
รักษา : ให้ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตามร่างกาย เมื่อมีไข้สูงดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ เพื่อทดแทนน้ำที่เสียไป กินอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย ไม่ควรซื้อยามาทานเอง
ป้องกัน : พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรทำงานหนักหรือออกกำลังกายมากเกินไป ควรสวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นอยู่เสมอ ไม่ควรอาบน้ำเย็นหรือถูกอากาศเย็นจัด ถ้าพบเด็กที่ป่วยควรหลีกเลี่ยง
5. ท้องเสีย
สาเหตุ : มักพบในช่วงหน้าร้อน เพราะมักเกิดจากการติดเชื้อจากการรับประทานนม น้ำ หรืออาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย พยาธิ ส่วนน้อยจะเกิดจากภาวะไม่ติดเชื้อ เช่น การแพ้นมวัว ภาวะน้ำย่อยอาหารบกพร่อง และจากยาบางชนิด
อาการ : ถ่ายอุจจาระเหลวมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป ถ่ายเป็นน้ำหรือมูกเลือด 1 ครั้งขึ้นไป อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การขาดน้ำและเกลือแร่ ทำให้ช็อกหรือความดันโลหิตต่ำได้ อ่อนเพลีย ตาลึกโหล
รักษา : ป้อนสารละลายน้ำตาลเกลือแร่บ่อยๆ ตั้งแต่การถ่ายอุจจาระเหลว 2 ครั้งขึ้นไป
- เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ควรให้ประมาณ 2-3 ออนซ์หรือประมาณครึ่งแก้วต่อการถ่าย 1 ครั้ง
- เด็กโตให้ 3-6 ออนซ์ หรือประมาณ 1 แก้วต่อการถ่าย 1 ครั้ง หรือเท่าที่เด็กต้องการ
ควรงดอาหารแข็งที่ย่อยยากหรือมีกากมาก เช่น ผัก ผลไม้ ควรกินอาหารอ่อนเหลว เช่น โจ็ก ข้าวต้ม หรือน้ำหวาน กรณีเด็กเล็กอาจให้งดนมสัก 2-3 ชั่วโมง หากลูกยังกินนมแม่อยู่ให้ทานได้ตามปกติ
ป้องกัน : ถ้าคุณแม่ให้ลูกทานนมแม่ได้จนถึง 1 ปี ขึ้นไปจะช่วยให้พบอาการท้องเสียน้อยลง นอกจากนี้คนเลี้ยงควรระมัดระวังเรื่องความสะอาดในการเตรียมนม ให้อาหาร อุปกรณ์ต่างๆ ของลูก เน้นให้รับประทานอาหารสุกและน้ำสะอาด ล้างมือเด็กเมื่อเห็นว่าสกปรกด้วยสบู่ทุกครั้ง
ขอบคุณข้อมูล
Modern Mom’s Guide Book